จากหลักฐานประวัติทางด้านโบราณคดีที่ได้พบขึ้นใหม่ๆ ในตอนกลางของประเทศไทยในปัจจุบัน ได้มีการค้นพบหลักฐานพวกลูกปัดและสิ่งอื่นๆ ที่แสดงว่า ในอาณาเขตดินแดนสุวรรณภูมิของไทยแห่งนี้ได้มีการติดต่อและเป็นเส้นทางการค้าขาย จากประเทศอินเดีย ไปจนจดประเทศเวียดนาม มาเนิ่นนานแล้ว เป็นเวลาร่วม ๓,๐๐๐ ปี ก่อนสมัยพุทธกาลเสียอีก แต่สำหรับตำนานมหาอาณาจักรไทยนั้นเพิ่งจะได้เริ่มมีบันทึกเป็นเรื่องราวมาตั้งแต่กลียุคศักราช และเป็นที่เด่นชัดขึ้น ในรัชสมัยแห่งพระเจ้าสิงหนวัติผู้สร้างมหาอาณาจักรโยนกนาคพันธุนคร ในดินแดนแห่งสุวรรณโคมคำเดิม ที่ได้ร้างไปตั้งแต่ครั้งศาสนาพระพุทธกัสสปะ
พระเจ้าสิงหนวัติพระโอรสของพระเจ้าเทวกาล ได้ประสูติในกลียุคศักราช ๑ ปีก่อนที่ พระเจ้าสีหตนุราช (หรือ สีหหนุราช พระราชบิดาของพระเจ้าสุทโธทน) และพระเจ้าอัญชันราช (พระราชบิดาของพระนางมหามายาและพระนางปชาบดี) และ พระกาลเทวิฬ ผู้เป็นพระอนุชาของพระเจ้าอัญชันราช (หรือ อสิตดาบส ผู้พยากรณ์พระพุทธเจ้า) ทั้งสามพระองค์จะได้ทำการลบศักราชกลียุคเสีย และได้ตั้ง อัญชันศักราช ขึ้นในกาลียุคศักราช ๒๔๑๑ ปี
พระเจ้าสิงหนวัติทรงมีพระชนมายุยืนยาวมาก ได้สร้างเมืองโยนกนาคพันธุนคร ในปีอัญชันศักราชที่ ๑๗ อาณาเขตแว่นแคว้นดินแดนโยนกนั้นกว้างขวางไปโดยลำดับ ประกอบด้วยชนชาติมากมายหลายเผ่าพันธุ์ เช่น พวก ขะแมร์ ลวะ ละว้า ขอม กล๋อม ขมุ ส่วย ไทย ฯ พระเจ้าสิงหนวัติทรงครองราชย์สมบัติอยู่นานถึง ๑๐๒ ปี จนพระชนมายุได้ ๑๒๐ ปี จึงได้สวรรคต
ในอาณาเขตแห่งอาณาจักรโยนกนาคพันธุนครนั้น ยังมีแว่นแคว้นเมืองหนึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เรียกว่า เมืองอารวีเชียงรุ้ง หรือ อาฬวี อันเป็นถิ่นที่อยู่ของชนกลุ่มหนึ่งที่เรียกว่า พวกอาฬวกยักษ์ (ผู้เขียน เข้าใจว่า น่าจะเป็นพวกกล๋อม) ซึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จมาโปรดและจำพรรษา ณ เมือง อารวีเชียงรุ้งแห่งนี้ ในพรรษาที่ ๑๖ เมื่อปีอัญชันศักราชที่ ๑๑๙ (ก่อนพระเจ้าสิงหนวัติสวรรคต) และพระองค์ได้เสด็จมาเยือนอาณาจักรโยนกอีกครั้งหนึ่ง ในปีที่ ๔ สมัยของพระเจ้าคันธกุมาร เมื่อปีอัญชันศักราชที่ ๑๒๓ และ ได้ประทับรอยพระพุทธบาทไว้ ณ ตำบลผาเรือและ ตำบลสันทรายหลวง โดยได้ตรัสพยากรณ์ดอยตุง (นามเดิม ดอยดินแดงหรือดอยตะยะสะ) อันเป็นที่อยู่ของพระกัมโลฤาษี ว่า จะเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุในภายหน้า เสร็จแล้ว พระองค์จึงได้เสด็จต่อไปยังกรุงราชคฤห์ จำพรรษาในพรรษาที่ ๒๐
พระเจ้าอชุตราช พระนัดดาของพระเจ้าสิงหนวัติ ได้ขึ้นครองราชย์อาณาจักรโยนก ในปีอัญชันศักราชที่ ๑๔๘ มะเส็งศก ปีเดียวกับที่พระพุทธเจ้าได้ทรงปรินิพพาน พระเจ้าอชาตศัตรูได้ทำการลบอัญชันศักราชนั้นเสีย แล้วได้ตั้งพุทธศักราชขึ้น ต่อมาในปี พ.ศ. ๓ พระ มหากัสสป ก็ได้นำเอาพระบรมอัฐิธาตุพระรากขวัญเบื้องซ้ายมาถวายแก่พระเจ้าอชุตราช จึงได้มีการก่อสร้างพระสถูปขึ้นบรรจุพระบรมสารีริกธาตุนั้น ที่ดอยตุง ดังพระพุทธทำนาย
ในกาลสมัยต่อมา เมื่อ พ.ศ. ๒๑๘ สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ภายหลังจากที่ได้มีการสังคายนาพระไตรปิฎก ครั้งที่ ๓ ที่กรุงปาฏลีบุตรแล้ว พระโมคคลีบุตร ติสสเถระ ได้แต่งตั้งคณะสงฆ์ไปดำเนินการประกาศเผยแพร่พระพุทธศาสนาหลายคณะ ซึ่งก็ได้มีหลายคณะได้เดินทางเข้ามาในดินแดนสยามประเทศทั้งตอนทิศเหนือและทิศใต้ กล่าวคือ
ทางด้านทิศเหนือ ได้มี พระมหารักขิตเถระ กับพระเถรานุเถระอันดับหลายรูปได้นำเอาพระพุทธศาสนา พร้อมด้วยพระบรมสารีริกธาตุ ๙ พระองค์ มาสู่อาณาจักรโยนกนาคพันธุนคร (หมายเหตุ - ท่าน ผู้รู้บางท่าน เช่น ศจ. ดร. พี. วี. บาปัต ว่า น่าจะเป็นไอโอเนียนกรีก แต่ผู้เขียน เห็นว่า ขัดกับหลักฐานแผนที่โบราณและตำนานโยนกนคร)
ทางด้านทิศใต้ ได้มีพระโสณะและพระอุตตรเถระ (ในตำราโหราศาสตร์ไทยว่า พระอุตตรามเถระ) กับพระเถรานุเถระอันดับหลายรูปได้นำเอาพระพุทธศาสนาเข้าสู่แดนแคว้นสุวรรณภูมิทางตอนใต้อีกทางหนึ่ง
ในสมัยนี้เองที่ตำราโหราศาสตร์ได้เข้ามาเริ่มแพร่หลายในดินแดนสยามประเทศ อาทิเช่น ตำราจักรทีปนี, ตำราสุริยยาตร์ ฯลฯ ซึ่งนับเนื่องมาถึงปัจจุบันก็เป็นเวลาสองพันกว่าปีมาแล้ว
อนึ่ง บรรดาสรรพตำราโหราศาสตร์ภาคคำนวณในครั้งกระโน้น ต่อมาได้เปลี่ยนจากกลียุคศักราชมาใช้มหาศักราช ซึ่งพระเจ้าสลิวาหนราช (พระเจ้ากนิษกะ) ได้ทรงลบศักราชเดิมและได้ตั้งขึ้นใหม่ เมื่อวันอังคารที่ 3 มีนาคม ค.ศ. 78 (พ.ศ. ๖๒๑) มาเป็นมูลคำนวณทั้งสิ้น
ต่อมา ในปี พ.ศ. ๙๕๖ พระพุทธโฆษะ (ในตำราโหราศาสตร์ไทย เรียกว่า พระพุทธโฆษาจารย์) ชาวเมืองโกศล เมืองสุธรรมาวดี (เมืองทาตัน) ในรามัญประเทศ (Tailanga ประเทศพม่าหรือเมียนมาร์ ในปัจจุบัน) ผู้เดิมเป็นศิษย์แห่งมหาฤาษีปตัญชลิ แล้วต่อมาได้บวชอยู่ในสำนักของท่านมหาสถวีระ เรวตะ และเป็นผู้แต่งคัมภีร์วิสุทธิมรรคอันเลื่องชื่อ ได้เดินมายังเมือง นครไชยบุรี เชียงแสน แคว้นโยนก เมื่อวันจันทร์ ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๖ ปีฉลู มหาศักราช ๓๓๕ พร้อมกับได้นำเอาพระบรมสารีริกธาตุ ๑๖ องค์ มาถวายแก่พระเจ้าพังคราช ซึ่งได้จัดสร้างพระสถูปเจดีย์ พระธาตุจอมทองและพระธาตุดอย กิติ ขึ้น
พระพุทธโฆษาจารย์ท่านนี้ เป็นผู้แต่งคัมภีร์อรรถสาลินี (อัฏฐสาลินี) ซึ่งได้กล่าวพยากรณ์ ว่าด้วย การโคจรดาววิปริต พักร์ มณฑ์ เสริด ที่ใช้กันอยู่ในตำราโหราศาสตร์ไทยนี่เอง
จากรายละเอียดที่ได้กล่าวมาข้างต้นนี้ จะเห็นได้ว่า ชนชาติไทยมีความเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนามาตั้งแต่เริ่มต้นในครั้งพุทธกาลมาโดยลำดับ และวิชาโหราศาสตร์ไทยก็ได้รับการถ่ายทอดมาตั้งแต่ครั้งโบราณกาล เป็นเวลามากกว่าสองพันปีแล้ว ตั้งแต่ก่อนสมัยสุโขทัยจนได้มีพัฒนาการมาเป็นเอกลักษณ์ของไทยโดยเฉพาะแล้ว จึงเป็นที่น่าภาคภูมิใจและสมควรที่จะรักษามรดกภูมิปัญญาและวัฒนธรรมไทย อันแฝงอยู่ในวิชาโหราศาสตร์ไทยเอาไว้เป็นมรดกแก่ลูกหลานไทยสืบไป
บรรณานุกรม
พระไตรปิฏก เล่มที่ ๒๕ ขุททกนิกาย (สุตตันตปิฏก) สุตตนิบาต มหาวรรค (๑๑) นาลกสูตร
พระไตรปิฏก เล่มที่ ๒๕ ขุททกนิกาย (สุตตันตปิฏก) สุตตนิบาต เรื่องที่ ๑๐ อาฬวกสูตร
คัมภีร์มโนรถปูรณีอรรถกถาอังคุตตรนิกาย
คัมภีร์อรรถสาลินี
คัมภีร์ทีปวงศ์ พงศาวดารลังกา
ตำนานโยนก
ตำนานพระธาตุดอยตุง และ ตำนานพระธาตุจอมทอง
|